เมนู

วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร

วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร หรือเรียกอีกชื่อว่า ”วัดใหญ่” ตั้งอยู่ ถนนพุทธบูชา ริมฝั่งแม่น้ำน่านด้านทิศตะวันออก ตรงข้ามศาลากลางจังหวัดพิษณุโลก เป็นพระอารามหลวงชั้นเอกชนิดวรมหาวิหารที่สำคัญของจังหวัดพิษณุโลก และเป็นที่รู้จักในฐานะสถานที่ประดิษฐานพระพุทธชินราช พระพุทธรูปที่งดงามที่สุดองค์หนึ่งของโลก ซึ่งผู้คนจำนวนมากนิยมมาสักการะกราบไหว้ หากใครไปเยือนจังหวัดพิษณุโลกแล้ว ไม่ได้ไปนมัสการพระพุทธชินราชจะเสมือนว่าไปไม่ถึงจังหวัดพิษณุโลก

ประวัติความเป็นมา

วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร สร้างเมื่อ พ.ศ. 1900 ในยุคสมัยของ พระมหาธรรมราชาที่ 1 (พระยาลิไทย) และเป็นวัดหลวงตั้งแต่รัชกาลที่ 6 เมื่อปี พ.ศ. 2458 ในปัจจุบันชื่อเต็มเรียกว่า ”วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร” ซึ่งภายในวัดประกอบด้วยโบราณสถานโบราณวัตถุล้ำค่ามากมาย การวางผังของวัดมีองค์พระปรางค์เป็นองค์ประธานของวัด พระวิหาร  ทางด้านทิศตะวันตกเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธชินราช และมีประตูประดับมุกที่งดงาม พระวิหารทางทิศตะวันออกเป็นที่ประดิษฐานพระอัฎฐารส ทางด้านทิศเหนือเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธชินสีห์ และพระวิหารด้านทิศใต้เป็นที่ประดิษฐานพระศรีศาสดา พระองค์ได้สร้างวัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำน่าน โดยมีพระปรางค์อยู่กลางพระวิหาร 4 ทิศ มีพระระเบียง 2 ชั้น และรับสั่งให้ปั้นหุ่นหล่อพระพุทธรูป 3 องค์ เพื่อประดิษฐานเป็นพระประธานในพระวิหารทั้ง 3 หลัง

โบราณสถาน-โบราณวัตถุภายในวัด

พระวิหารหลวง ประดิษฐานพระพุทธชินราช

หล่อทองสัมฤทธิ์ พุทธลักษณะเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ขนาดหน้าตักกว้าง 5 ศอก 1 คืบ 5 นิ้ว และสูง 7 ศอก พุทธลักษณะอื่น ๆ กล่าวว่า ”เส้นรอบนอกของพระวรกายอ่อนช้อยพระพักตร์ค่อนข้างกลม พระขนงโก่งพระเกตุมาลาเป็นเปลวเพลิง ปลายนิ้วพระหัตถ์ทั้งสี่เสมอกัน” สร้างเมื่อสมัยสุโขทัย ได้รับการบูรณะให้สภาพดี และยังสง่างามสมบูรณ์มาถึงปัจจุบัน ตำนานการหล่อพระพุทธชินราชนั้น กล่าวไว้ในพงศาวดารว่า ”พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎก ทรงโปรดให้สร้างพระพุทธชินราช พระศรีศาสดา พระชินสีห์ขึ้นพร้อมกันทั้ง 3 องค์ รูปพระศรีศาสดาพระชินสีห์ทั้งสององค์นั้นทองแล่นเสมอกันอย่างสมบูรณ์ แต่พระชินราชต้องหล่อถึง 4 ครั้ง หากครั้งที่ 4 พระอินทร์นิรมิตรเป็นตาปะขาวมาช่วยทำรูปปั้นเข้าอย่างสมบูรณ์” ชี้ให้เห็นถึงพระพุทธชินราชที่งดงาม ไม่ใช่เป็นฝีมือคนธรรมดา เพราะคนธรรมดาไม่สามารถปั้นหล่อได้งดงาม แต่หากความเป็นจริงแล้วคนธรรมดาคงเป็นคนปั้นหล่อขึ้นนั่นเองประตูประดับมุก 2 บานคู่ กว้าง 1 เมตร สูง 4.50 เมตร ประดับมุกโบราณที่งดงามเป็นรูปวงกลมล้อมรอบภาพสัตว์หิมพานต์ อันมีราชสีห์ เหมราช กินนร ประกอบลายช่อกนกบรรจุในวงกลมลายอีแปะ ด้านละ 9 วง กระหนกหูช้างประกอบช่องไฟระหว่างวงกลมแต่ละอัน ตัวบานประดับมุกสร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2499 สมัยพระเจ้าบรมโกศ และได้ทรงนำบานประตูไปถวายเป็นประตูพระวิหารพระแท่นศิลาอาสน์ภายในวิหารประดิษฐานพระพุทธชินราช ซึ่งมีคำจารึกบนบานประตูมุกเมื่อ พ.ศ. 2299 ในสมัยของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ตัวอักษรที่ใช้จารึกเป็นตัวอักษรไทยคำจารึกเป็นภาษาไทย ดังนี้

ศุภมัสดุพระพุทธศักราช 2299 วันจันทร์ ขึ้น 13 ค่ำ เดือน 10 ปีกุนสัพศก พระบาทสมเด็จพระบรมนาถพิตรพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาดำรัสเหนือเกล้าเหนือกระหม่อม สั่งให้เขียนลายมุกบานประตูพระวิหารชินราช ณ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุเมืองพิษณุโลก ช่าง 130 คน ถึง ณ วันพฤหัสขึ้น 4 ค่ำ เดือน 11 ปีกุน สัพศก ลงมือทำมุก 5 เดือน 20 วันสำเร็จ พระราชทานช่างผู้ทำการมุกทั้งปวง เสื้อผ้ารูปพรรณ ทอง เงินและเงินตราเป็นอันมาก เลี้ยงวันละ 2 เพลา ค่าเลี้ยงมิได้คิดเข้าในพระราชทานด้วย คิดแต่บำเหน็จประตูหนึ่งเป็นเงินตรา 26 ชั่ง

พระวิหารพระอัฏฐารส

อยู่บริเวณหลังพระพุทธชินราชเป็นพระพุทธรูปยืนปางห้ามญาติ สูง 18 ศอก สร้างในสมัยเดียวกับพระพุทธชินราช ราว พ.ศ. 1800 ปัจจุบันองค์พระอัฏฐารสทางกรมศิลปากร บูรณะซ่อมแซมใหม่ทั้งองค์พร้อมทั้งทาสี จึงดูเป็นพระพุทธรูปสร้างใหม่ขึ้นมา เดิมนั้นประดิษฐานอยู่ในวิหารใหญ่แต่วิหารได้พังไปจนหมด เหลือเพียงเสาที่ก่อด้วยศิลาแลงขนาดใหญ่ 3-4 ต้น เรียกว่า ”เนินวิหารเก้าห้อง” เป็นพระวิหารหนึ่งที่ทรงคุณค่า ควรทำนุบำรุงรักษาไว้ให้คนรุ่นใหม่ได้รำลึกถึงสถานที่ทางประวัติศาสตร์ เพื่อคงไว้ซึ่งโบราณสถานต่อไป

พระวิหารพระเจ้าเข้านิพพาน

วิหารพระเจ้าเข้านิพพาน เป็นวิหารขนาดกลางตั้งอยู่ทางทิศใต้ของพระวิหารพระพุทธชินราชนอกเขตระเบียงคต ภายในประดิษฐานหีบปิดทอง(สมมุติ) บรรจุพระบรมศพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำด้วยศิลาตั้งอยู่บนจิตรากาธานประดับด้วยลวดลายลงรักปิดทองร่องกระจกสวยงาม ที่ปลายหีบมีพระบาททั้งสองยื่นออกมา และบริเวณด้านหน้าหรือด้านท้ายหีบพระบรมศพ มีพระมหากัสสปะเถระ นั่งนมัสการพระบรมศพ ซึ่งนับว่าเป็นโบราณวัตถุที่สำคัญของวัดพระศรีรัตนมหาวรวิหาร โดยผู้สร้างถือคติว่าเป็นการจำลองสังเวชนียสถานของพระพุทธเจ้า คาดว่ามีเพียงแห่งเดียวในประเทศไทย

พระเหลือ

หลังจากสร้างพระพุทธชินราช พระพุทธชินสีห์ และพระศรีศาสดาแล้ว พระยาลิไทรับสั่งให้ช่างนำเศษทองสัมฤทธิ์ที่เหลือ นำมารวมกันหล่อพระพุทธรูปปางมารวิชัยขนาดเล็ก หน้าตัก กว้าง 1 ศอกเศษ เรียกชื่อพระพุทธรูปนี้ว่า”พระเพลือ” เศษทองยังเหลืออยู่อีก จึงได้หล่อพระสาวกยืนอยู่ 2 องค์ ส่วนอิฐที่ก่อเตาสำหรับหลอมทองในการหล่อพระพุทธรูป นำมารวมกันบนชุกชี(ฐานชกชี) พร้อมกับปลูกต้นมหาโพธิ์ 3ต้น ลงบนชกชี เรียกว่า โพธิ์สามเส้า ระหว่างต้นโพธิ์ได้สร้างวิหารน้อยขึ้นมา 1 หลัง อัญเชิญพระเหลือกับสาวกเข้าไปประดิษฐานอยู่

องค์พระปรางค์

ตั้งอยู่บริเวณศูนย์กลางของวัดเป็นปูชนีย์สถานที่เก่าแก่ ปัจจุบันมีความสูงประมาณ 15 วา ประดับยอดด้วยนภศูลกลีบขนุนประดับอยู่รอบองค์พระปรางค์ แต่เดิมนั้นลักษณะเป็นกลีบขนุนเกลี้ยง ตามแบบนิยมในสมัยอยุธยาตอนต้น ต่อมาในรัชกาลที่ 5 ได้สั่งซื้อกระเบื้องเคลือบสีทองจากอิตาลีมาประดับ ภายหลังได้ชำรุดหล่นร่วงลงมา ซึ่งชาวบ้านนิยมเก็บมาบูชา เพราะด้านหลังกระเบื้องสีทองมีปุ่มปรากฎอยู่ 5 ปุ่ม ถือเป็นศิริมงคล


เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ

บันทึกการตั้งค่า
LINE LOGO SVG แชท